การใช้รถใช้ถนนในทุกวันนี้มีโอกาสที่จะเกิดเหตุไม่คาดฝันหรืออุบัติเหตุขึ้นได้เสมอ ดังนั้น นอกเหนือจากการขับขี่อย่างระมัดระวังแล้ว การทำประกันรถยนต์เอาไว้ถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยเพิ่มความอุ่นใจได้อีกทางหนึ่ง เพราะเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาแล้ว หลายคนที่ยังไม่เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน ย่อมจะต้องรู้สึกตกใจและอาจจะยังไม่รู้ว่าต้องเคลมประกันอย่างไรดี ดังนั้นในบทความนี้เราจึงจะมาแนะนำว่าเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาแล้วจะเคลมประกันอย่างไร เพื่อที่คุณจะได้ไม่ต้องกังวลใจและสามารถทำตามขั้นตอนต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง การเคลมประกัน ทำได้กี่วิธี การเคลมประกันที่ทำกันอยู่ทั่วไปนั้น สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 วิธี คือการเคลมสดและเคลมแห้ง ซึ่งมีรายละเอียด เพิ่มเติมดังนี้ 1.การเคลมสด (การเคลมประกันภัยรถยนต์ แบบมีคู่กรณี) การเรียกเคลมประกันในจุดเกิดเหตุทันทีหลังเกิดเหตุขึ้นแล้ว ซึ่งพนักงานประกันจะรีบเดินทางไปยังจุดเกิดเหตุเพื่อประเมินความเสียหายทันที จากนั้นทางบริษัทก็จะออกเอกสารให้ผู้เรียกประกันนำไปยื่นที่อู่ซ่อมได้โดยตรง 2.การเคลมแห้ง (การเคลมประกันภัยรถยนต์ แบบไม่มีคู่กรณี) เป็นการเรียกเคลมประกันหลังเกิดเหตุไปแล้วไม่เกิน 2-3 วัน ซึ่งจะทำได้เฉพาะประกันชั้นหนึ่งเท่านั้น ซึ่งวิธีการเคลมประกันแบบต่างๆ สามารถทำได้ดังต่อไปนี้ วิธีการเคลมสด การเคลมสดสามารถทำได้ใน 2 กรณีคือ เคลมสดแบบมีคู่กรณี ซึ่งบริษัทประกันจะพิจารณาก่อนว่าใครเป็นฝ่ายผิด…

ประกันภัยรถยนต์ เป็นการประกันแบบไม่บังคับ ซึ่งเจ้าของรถจะเลือกทำหรือไม่ทำก็ได้ แต่คนส่วนใหญ่มักจะเลือกทำ เพราะเห็นความสำคัญในการคุ้มครองที่ครอบคลุมมากขึ้น เมื่อเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน โดยสิ่งที่คุณจะต้องทราบก็คือ ประกันภัยรถยนต์มีอยู่ด้วยกันหลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทก็จะให้การคุ้มครองที่แตกต่างกันไป ในบทความนี้เราจะมาพูดถึงรายละเอียดของประกันภัยรถยนต์แต่ละประเภทกัน ประเภทของประกันภัยรถยนต์ สำหรับประเภทของประกันภัยรถยนต์ ก็มีอยู่ด้วยกันหลากหลายประเภทดังต่อไปนี้ 1.ประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 เป็นประกันภัยที่ได้ชื่อว่าให้การคุ้มครองที่ครอบคลุมมากที่สุด โดยจะมีการให้ความคุ้มครองต่อชีวิตและร่างกายของผู้โดยสารในรถยนต์คันที่เอาประกันภัยและบุคคลภายนอก รวมถึงคุ้มครองต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอกด้วย ซึ่งคุ้มครองทั้งความเสียหายต่อตัวรถยนต์ รวมถึงกรณีที่รถหายและไฟไหม้ เบี้ยประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 นั้นถือว่าสูงพอสมควร จึงมักใช้กับรถใหม่หรือรถยนต์ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น มือใหม่หัดขับ แต่ทั้งนี้เบี้ยประกันที่สูงดังกล่าวก็แลกมากับการคุ้มครองที่แสนคุ้มค่า เพราะให้ความคุ้มครองแบบครอบคลุมมากที่สุด รวมทั้งความรับผิดชอบทั้งตัวรถและอุปกรณ์เสริมอื่นๆ ที่ผู้เอาประกันได้ติดตั้งไว้ แต่ทั้งนี้ต้องแจ้งให้กับบริษัทประกันได้ทราบก่อนจึงจะรับผิดชอบให้ได้ 2.ประกันภัยรถยนต์ประเภท 2 สำหรับประกันภัยรถยนต์ประเภท 2 นี้ให้ความคุ้มครองที่คล้ายกันกับประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 แต่จะไม่คุ้มครองความเสียหายต่อตัวรถผู้เอาประกัน โดยในส่วนของการคุ้มครองจะครอบคลุมถึงชีวิตร่างกายของผู้โดยสารในรถยนต์คันที่เอาประกันภัยและบุคคลภายนอก, คุ้มครองทรัพย์สินของบุคคลภายนอก,…